วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า

📘 บันทึกสะท้อนคิด วันศุกร์ ที่ 3 กรกฎาคม 2558  📘
                การเรียนรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า (Learning with the Five Senses) หมายถึง การจัดกิจกรรมประจำวันทั้ง 6 ตามตารางการจัดกิจกรรมประจำวันระดับปฐมวัย เพื่อให้เด็กได้ เรียนรู้ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทางตาในการมองและการสังเกต เรียนรู้ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทางหูในการได้ยินหรือฟังเสียงต่างๆ  เรียนรู้ด้วยประสาทสัมผัสทางร่างกายในการสัมผัส หยิบจับสิ่งต่างๆ  เรียนรู้รสชาติสิ่งต่างๆด้วยการใช้ประสาทสัมผัสลิ้นในการชิมรส และเรียนรู้กลิ่นต่างๆจากการใช้ประสาทสัมผัสจมูกในการดมกลิ่น
               กิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ นอกจากกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายส่วนต่างๆและเพื่อผ่อนคลายอารมณ์แล้ว กิจกรรมต่างๆที่จัดให้กับเด็กยังส่งเสริมในเรื่องการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าด้วย โดยเฉพาะการรับรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสทางหู เช่น การเคลื่อนไหวพื้นฐานที่เน้นให้เด็กเคลื่อนไหวร่างกายตามจินตนาการตามจังหวะเคาะหรือเสียงดนตรี
                กิจกรรมเสริมประสบการณ์ การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์มีรูปแบบการจัดให้เด็กได้ปฏิบัติอย่างหลากหลายทั้งการสาธิต การทดลอง การประกอบอาหาร การศึกษานอกสถานที่ การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ที่เด็กมีโอกาสได้เรียนรู้ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น กิจกรรมการประกอบอาหารการทำ
                 กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่เด็กได้แสดงความรู้สึกและจินตนาการผ่านกิจกรรมศิลปะที่หลากหลาย เช่น กิจกรรมการวาดภาพระบายสี เด็กจะได้เรียนรู้ผ่านการใช้ประสาทสัมผัสด้วยการใช้สายตาในการวาดภาพและระบายสี ได้ใช้ประสาทสัมผัสด้วยการจับต้องในการหยิบจับดินสอและสีเทียนในการระบายสีภาพที่วาด กิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน เด็กจะได้ใช้ประสาทสัมผัสมือและตาในการปั้นดินน้ำมันให้เป็นตัวสัตว์ คน หรือสิ่งของ กิจกรรมการร้อยเด็กจะได้ใช้ประสาทสัมผัสจากการมองเห็น และใช้ประสาทสัมผัสมือในจับควบคุมการทำงานระหว่างมือและตา เพื่อให้สามารถร้อยดอกไม้หรือลูกเต๋าได้ถูกต้อง นอกจากนี้เด็กอาจใช้ประสาทสัมผัสจมูกในการดมกลิ่นดอกไม้ที่นำมาร้อยได้ 
                 กิจกรรมเสรีหรือเล่นตามมุม เป็นกิจกรรมที่เด็กได้พัฒนาในด้านต่างๆจากการเล่นและสำรวจวัสดุอุปกรณ์ประจำมุมต่างๆผ่านการเรียนรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ 
                 กิจกรรมกลางแจ้ง เด็กจะได้เรียนด้วยประสาทสัมผัสทางหูจากการฟังสัญญาณหรือคำสั่งก่อนการเล่นเกม เรียนรู้ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสด้วยมือนิ้วมือและตา จากกิจกรรมการแข่งขันคีบลูกปิงปองใส่ลงในตะกร้า ซึ่งเป็นการทำงานประ สานกันระหว่างมือและตา ซึ่งเป็นการทำงานของกล้ามเนื้อเล็ก เป็นต้น 
                 กิจกรรมเกมการศึกษา เด็กจะเรียนรู้ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสด้วยการสังเกตด้วยตาก่อนการเล่น จะรู้ว่ามีภาพอะไรบ้าง ให้จับคู่หรือจัดกลุ่มหรือให้เรียงลำดับ จากนั้นเด็กอาจต้องใช้มือหยิบจับบัตรภาพมาวางให้เป็นคู่ เช่น การจับคู่ภาพกับเงา จับคู่ภาพที่มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นการเรียนรู้ที่ใช้ทั้งประสาทสัมผัสด้วยการสัมผัสด้วยมือและการควบคุมกล้ามเนื้อตาให้มีความสัมพันธ์กัน เป็นต้น
                   ครูควรคำนึงในเรื่องสื่อที่นำมาใช้เพื่อให้เด็กเรียนรู้ด้วยการใช้ประสาทสัมผัส ต้องไม่เป็นสื่อที่เป็นอัน ตรายกับเด็ก เช่น กลิ่นที่นำมาใช้เพื่อให้เด็กดมมีอันตรายต่อเด็กหรือไม่ หรือดอกไม้ที่นำมาให้เด็กสัมผัสหรือดมกลิ่นมีหนามแหลมคมเป็นอันตรายต่อเด็กหรือไม่ หรือในการดมกลิ่นดอกไม้ไม่ควรให้เด็กดมจนติดจมูกจนเกินไป หรือไม่จำเป็นให้เด็กดมกลิ่นเหม็นเพราะอาจทำให้เสียสุขภาพได้ เช่น การดมกลิ่นสารเคมี อาหารบูดเน่า เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย

🌻 บันทึกสะท้อนคิด วันพฤหัสบดี ที่ 2 กรกฎาคม 2558 🌻
                 การจัดกิจกรรมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ผ่านประสบการณ์สำคัญ ได้แก่ เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก ธรรมชาติรอบตัว และสิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก อย่างไรก็ตามครูควรทำความเข้าใจสาระที่ควรเรียนรู้ตามลักษณะการใช้ภาษาที่แฝงอยู่ในการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้
                 การฟัง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้เสียงที่ได้ยิน การตระหนักถึงความหมายของเสียงนั้นในบริบทแวดล้อม และการตีความสิ่งที่ได้ยินโดยเชื่อมโยงกับความรู้เดิม การรวบรวมข้อมูล การจินตนาการ หรือความชื่นชอบของเด็ก 
                  การพูด เป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารกับผู้อื่น สาระที่เด็กควรเรียนรู้เพื่อให้สามารถสื่อสารกับผู้อื่นอย่างมีความหมาย และตรงตามความต้องการของเด็ก 
                  การอ่าน เป็นกระบวนการที่เด็กใช้ในการถอดรหัสสัญลักษณ์ และทำความเข้าใจความหมายที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดผ่านสัญลักษณ์เหล่านั้น องค์ประกอบของการอ่านที่เด็กควรเรียนรู้  ได้แก่ความรู้เกี่ยวกับการใช้หนังสือ 
                  การเขียน เป็นกระบวนการแสดงออกถึงความรู้สึก ความต้องการ และความคิดผ่านทางเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ องค์ประกอบของการเขียนที่เด็กควรเรียนรู้ 
                  การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยควรจัดให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในการพัฒนาเด็กปฐมวัย (DAP) ไม่ควรเป็นการสอนทักษะทางภาษาอย่างเป็นทางการ แต่ควรเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความท้าทายให้เด็กเกิดความต้องการที่จะร่วมกิจกรรม และสามารถประสบความสำเร็จในการทำกิจกรรมด้วยตนเอง หรือมีผู้ใหญ่คอยชี้แนะ เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับระดับพัฒนาการทางภาษาของเด็ก และช่วยให้เด็กก้าวไปสู่พัฒนาการทางภาษาในขั้นต่อไป ครูควรจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อตอบสนองต่อความแตกต่างกันของเด็ก ตัวอย่างการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย มีดังต่อไปนี้
       - การสนทนาเหตุการณ์และข่าว  เป็นกิจกรรมที่เด็กและครูได้สนทนาร่วมกันในช่วงเริ่มต้นกิจกรรมของแต่ละวัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และได้เปลี่ยนกันเป็นผู้พูดและผู้ฟัง ครูควรส่งเสริมให้เด็กมีมารยาทที่ดีในการพูดและการฟัง หากเด็กคนใดไม่ต้องการพูดก็ไม่ควรถูกบังคับให้พูด เพื่อให้เด็กที่ไม่มั่นใจในตนเองรู้สึกสบายใจที่จะมีส่วนร่วมในการฟังการสนทนา
        - การอ่านออกเสียงให้เด็กฟังเป็นกิจกรรมที่ครูเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กที่ดีมาอ่านให้เด็กฟัง ครูควรจัดให้มีช่วงเวลาเฉพาะสำหรับการอ่านออกเสียงให้เด็กฟัง (Story Time) กิจกรรมนี้อาจจะจัดเป็นกิจกรรมกลุ่มย่อยหรือจัดสำหรับเด็กกลุ่มใหญ่ก็ได้ โดยครูเลือกหนังสือที่เด็กสนใจมาอ่านให้เด็กฟัง ครูควรอ่านชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง ผู้วาดภาพประกอบ อ่านเนื้อเรื่องพร้อมกับชี้ข้อความขณะที่อ่าน เปิดโอกาสให้เด็กได้ถามคำถาม หรือสนทนาเกี่ยวกับตัวละคร หรือเรื่องราวในหนังสือ ครูอาจเชิญชวนให้เด็กคาดเดาเหตุการณ์ในเรื่องบ้าง และควรเตรียมข้อมูลที่ช่วยให้เด็กเข้าใจคำยากที่ปรากฎในเรื่อง ถามคำถามที่กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ และจัดกิจกรรมต่อเนื่องจากเรื่องที่อ่านให้เด็กเลือกทำตามความสนใจ เช่น เตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ปรากฎในเรื่องในเด็กได้เล่นสมมุติ เตรียมภาพให้เด็กได้เรียงลำดับเรื่องราว เป็นต้น

        


วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การฝึกเด็กให้มีวินัยเรื่องการทิ้งขยะโดยใช้กิจกรรมการเรียนการสอน

🔴 บันทึกสะท้อนคิด วันพุธ ที่ 1 กรกฎาคม 2558  🔴
              🌻การจัดกิจกรรมให้เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะด้วยการเรียนรู้ประเภทของขยะ การคัดแยกขยะ การนำขยะไปกำจัดหรือทำลายอย่างถูกวิธี และการนำขยะไปใช้ประโยชน์ต่างๆ เช่น การนำวัสดุเหลือใช้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การนำวัสดุหรือสิ่งของที่ไม่ได้ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ที่อาจใช้ในลักษณะเหมือนเดิมหรือไม่เหมือนเดิมก็ได้ อาจดัดแปลงวัสดุนั้นให้ใช้ประโยชน์ได้หลาก หลายรูปแบบ วัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น กระดาษ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก เป็นต้น ให้เด็กได้รู้จักการรีไซเคิล (Recycle)ว่าคือ การจัดการวัสดุเหลือใช้ที่กำลังจะเป็นขยะ โดยนำไปผ่านกระบวนการแปรสภาพโดยเฉพาะการหลอมเพื่อให้เป็นวัสดุใหม่ แล้วนำกลับมาใช้ได้อีก ซึ่งวัสดุที่ผ่านการแปรสภาพนั้นจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือผลผลิตใหม่ก็ได้
             🌻การจัดประสบการณ์ให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้วิธีการจัดการขยะเป็นการจัดประสบการณ์ที่เน้นการเรียนรู้โดยยึดเด็กเป็นศูนย์กลางและสอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์จริงในปัจจุบัน ซึ่งมีคุณค่าและประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยดังนี้            
            🌻การจัดประสบการณ์แบบหน่วย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาหน่วยละ 1 สัปดาห์ และกำหนดหัวเรื่องการเรียนรู้แต่ละวันว่าจะเรียนอะไร เช่น กำหนดเรื่อง วันจันทร์เรื่องขยะมีกี่ประเภท  วันอังคารเรื่องขยะมีประโยชน์และโทษอย่างไร วันพุธ เรื่องวิธีการคัดแยกขยะประเภทต่างๆ วันพฤหัสบดี เรื่องวิธีการกำจัดขยะ  วันศุกร์เรื่องการป้องกันและลดการขยะ   โดยจัดกิจกรรมตามตารางกิจกรรมประจำวัน 6 กิจกรรมได้แก่          
             1. กิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ ให้เด็กเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเพลง อย่าทิ้ง เพลงตาวิเศษ          
             2. กิจกรรมเสริมประสบการณ์ จัดกิจกรรมให้เด็กได้ปฏิบัติทดลอง การคัดแยกขยะ การทำปุ๋ยหมัก การนำขยะไปฝังกลบ การไปศึกษานอกสถานที่ที่บ่อขยะ การนำขยะไปขาย ฯลฯ          
             3. กิจกรรมสร้างสรรค์ อาจนำวัสดุต่างๆที่เป็นขยะมาให้เด็กประดิษฐ์เป็นของเล่น ของใช้ เช่น การประดิษฐ์กล่องใส่เครื่องเขียน กล่องใส่แปรง ยาสีฟัน การประดิษฐ์รถลากของเล่น การประดิษฐ์พัดจากกระดาษ เป็นต้น        
             4. กิจกรรมเสรี/เล่นตามมุม อาจนำวัสดุเหลือใช้มาดัดแปลงให้เด็กได้เล่นทดลองต่างๆ แกนในกระดาษชำระมาดัดแปลงเป็นกล้องดูดาว ไม้ไอศกรีมมาระบายสีเพื่อให้เด็กนับจำนวน กล่องนมมาตกแต่งเป็นบล็อกในมุมบล็อก เป็นต้น
             5. กิจกรรมกลางแจ้ง ให้เด็กเล่นเกมแข่งขันการคัดแยกขยะ นำขวดหรือกระป๋องที่ไม่ใช้แล้วมาใช้ประกอบการเล่นน้ำ เล่นทราย เป็นต้น
             6. กิจกรรมเกมการศึกษา ครูให้เด็กเล่นเกมต่างๆ เช่น เกมจับคู่ภาพขยะที่เป็นประเภทเดียวกัน เกมจับคู่ภาพกับคำ เกมเรียงลำดับภาพการกำจัดขยะ เป็นต้น
              ในการจัดประสบการณ์หรือกิจกรรมการจัดการขยะเป็นสิ่งที่ครูควรคำนึงถึงในเรื่องของความปลอดภัยที่มีต่อเด็ก เช่น ควรมีการระมัดระวังการสัมผัสขยะที่เป็นพิษ ครูควรให้เด็กได้ใช้เครื่องมือป้องกันอันตรายที่อาจสัมผัสร่างกายของเด็กด้วยการใส่หน้ากากอนามัยหรือถุงมือในกรณีที่ต้องจับหรือสัมผัสขยะที่เป็นอันตราย และสอนให้เด็กเรียนรู้ที่จะป้องกันอันตรายจากขยะประเภทต่างๆด้วย
                                       

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ให้เด็กปฐมวัย

💐   บันทึกสะท้อนคิด วันอังคาร ที่ 30 มิถุนายน 2558 💐
                จิตใจของเด็กวัยอนุบาลเปรียบเสมือนฟองน้ำที่พร้อมจะซึมซับทุกสิ่งผ่านเข้ามา และเก็บ สะสมข้อมูลที่ได้รับอยู่ตลอดเวลา หากเด็กได้รับการเลี้ยงดูแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม จะทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี เด็กจะยอมรับนับถือตนเอง ได้ รับการยอมรับจากผู้อื่น และเด็กก็จะมีความสุขมีกำลังใจ มีแรงจูงใจในการทำงานตามที่มุ่งหวัง และสามารถมีกระบวนการคิดแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ดี ทำให้ประสบความสำเร็จ ถ้าเด็กไม่สามารถทำได้ตามขั้นตอนพัฒนาการ เด็กจะรู้สึกเป็นปมด้อย และจะทำงานในขั้นตอนพัฒนาการที่สูงขึ้นได้ยาก
                ในขณะที่พัฒนาการด้านร่างกายของเด็กปฐมวัยมีการเจริญเติบโต พัฒนาการทางด้านอารมณ์ก็เช่นเดียวกัน เด็กวัยอนุบาลจะแสดงออกด้านอารมณ์เด่นชัดขึ้น มีความสนใจในเรื่องต่างๆค่อนข้างสั้น เวลาดีใจ เสียใจ โกรธ หรือกลัว ก็จะแสดงอารมณ์ออกมาเต็มที่ ได้แก่ กระโดด กอด ตบมือ โวยวาย ร้องไห้เสียงดัง ทุบตี ขว้างปาสิ่งของ ไม่พอใจเมื่อถูกห้าม ฯลฯ เพียงชั่วครู่ก็จะหายไป 
                 ครูควรอบรมสั่งสอนโดยการปลูกฝังคุณธรรมให้แก่เด็กตั้งแต่ยังเล็ก เริ่มจากการพัฒนาความเข้าใจของเด็ก ให้เข้าใจความ รู้สึกของผู้อื่น สร้างจิตสำนึกที่ดี รู้จักควบคุมตัวเอง ให้การยอมรับนับถือผู้ใหญ่ นอบน้อม มีสัมมาคารวะ รู้จักการขอบคุณ ขอโทษ เมตตาปรานี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความอดทน สามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักการรอคอย และเรียนรู้ที่จะแบ่ง ปัน ด้วยการพัฒนาคุณภาพภายในและภายนอกของเด็กไปพร้อมๆกัน ดังนี้
                   การพัฒนาภายใน หรือการพัฒนาแก่นแท้ของชีวิตในกิจวัตรประจำวัน เช่น การเก็บกระเป๋า ของเล่นของใช้ การรักษาความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ การพับเก็บเสื้อผ้า การเข้าแถวเคารพธงชาติ การสวดมนต์ ฯลฯ การฟังนิทานส่งเสริมคุณธรรม เช่น นิทานชาดก การเข้าร่วมพิธีทางศาสนาที่นับถือ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ อาทิ การทำงานศิลปะ งานประดิษฐ์
                    การพัฒนาภายนอก หรือการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเด็กทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทั้งในส่วนของเนื้อหาสาระวิชาการ ทักษะการงาน และการดูแลตนเอง รวมถึงความสามารถที่จะระบุคุณค่าแท้ของสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของเด็กตามความเหมาะสมของวัย และความพร้อมของประสบการณ์ผ่านกิจกรรมหลากหลายทั้งที่เป็นวิถีชีวิต เช่น การเล่นแบบมีกติกา การบริการผู้อาวุโส การสนทนา การกล่าวคำขอบคุณ ขอโทษ การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน การปลูกผัก การทำอาหาร และการทำงานศิลปะ เป็นต้น
                   การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้เกิดกับเด็กปฐมวัยนั้น ควรเน้นให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเกิดเป็นความคุ้นชิน เด็กได้มีโอกาสฝึกคิดแก้ปัญหา เชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้ ลงสู่การปฏิบัติ รู้จักธรรมชาติของการงานที่กำลังทำอยู่ว่า ควรจัดการกับงานนั้นๆเพื่อให้ได้ผลงานออกมาตรงตามที่ต้องการ โดยการกระทำแต่ละอย่างด้วยความประณีต ละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นการเล่น การทำงานฝีมือ การเคลื่อนไหวร่างกาย การทำอาหาร ตลอดจนการสนทนาพูด คุย ฯลฯ ซึ่งเมื่อเด็กมีประสบการณ์ตรงต่อสิ่งที่เขาเรียนรู้ ก็จะเกิดการจดจำได้ดียิ่งกว่าการท่องจำจากหนังสือหรือคำบอกของผู้ใหญ่ เมื่อเด็กได้เรียนรู้สิ่งที่ตนเองมีประสบการณ์ในมิติต่างๆจากการตั้งคำถามและการเชื่อมโยงของครูผู้สอน เด็กก็จะสามารถคิดพิจารณาอย่างใคร่ครวญด้วยตนเองได้ว่า เขาสามารถนำการเรียนรู้ที่ได้รับไปใช้ในวิถีชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง อะไรคือ คุณค่าที่แท้ และอะไรคือ คุณค่าที่เทียม เด็กก็จะสามารถพัฒนาทักษะการคิด การตัดสินใจ ตลอดจนการกระทำและการปฏิบัติสิ่งต่างๆที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ในที่สุด
                 


การพัฒนาวินัยเด็กด้วยกิจกรรมการจัดเก็บของเล่น

🔰 บันทึกสะท้อนคิด วันจันทร์ ที่ 29 มิถุนายน 2558 🔰 
                   วินัยในตนเองคือความสามารถในการบังคับพฤติกรรมของตนเองด้วยตนเองซึ่งมีวุฒิภาวะประเภทหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนควรมี  สำหรับการพัฒนาคุณธรรมด้านการมีวินัยในเด็กปฐมวัยในสถานศึกษานั้น  สามารถพัฒนาไปพร้อมๆกันทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสังคม ซึ่งต้องอาศัยเวลาและการฝึกปฏิบัติให้เด็กมีโอกาสแสดงพฤติกรรมที่เอื้ออำนวย เด็กจะได้รับประสบการณ์จากการปฏิบัติกิจกรรมและพัฒนาไปสู่การมีวินัยในตนเองและวินัยต่อส่วนรวมในที่สุด การพัฒนาคุณธรรมด้านการมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัยสามารถพัฒนาจากกิจกรรม  สภาพแวดล้อม  บรรยากาศของห้องเรียนและการจัดการชั้นเรียน  กิจกรรมที่สนับสนุนการมีวินัยในตนเอง  สารมารถจัดได้ในกิจกรรมดังต่อไปนี้
             - การปฏิบัติตนในกิจวัตรประจำวัน  ซึ่งได้แก่การสนับสนุนให้เด็กปฏิบัติกิจวัตรประจำวันที่เกี่ยวข้องกับตนเองในเวลาที่กำหนดให้  เช่น  การเล่น  การพักผ่อน  การรับประทาน  การทำความสะอาดร่างกาย ฯลฯ
              - การปฏิบัติตนในกิจกรรมประจำวันที่สถานศึกษากำหนด  ซึ่งได้แก่การสนับสนุนให้เด็กปฏิบัติตามเวลาของการทำกิจกรรมที่กำหนดและทำตามข้อตกลงหรือข้อกำหนดของการทำกิจกรรมนั้นๆ  เช่น  การเล่นตามมุมประสบการณ์หลังจากปฏิบัติกิจกรรมสร้างสรรค์แล้ว  การเลิกเล่นเมื่อได้ยินสัญญาณให้เลิกพร้อมกับเก็บอุปกรณ์เข้าที่อย่างเรียบร้อย  เป็นต้น
               - การจัดประสบการณ์ให้เด็กรับฟัง  รับรู้  มีส่วนร่วม  เกี่ยวกับการมีวินัยในตนเองที่มีผลต่อตนเอง  ต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม  เช่น  การให้ฟังนิทานแล้วแสดงความคิดเห็น  การฟังสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้น  แล้วร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึงข้อดีข้อเสียและกำหนดเป็นแนวทางหรือวิธีที่พึงปฏิบัติ  การให้ร่วมกันกำหนดกติกา  กฏเกณฑ์  ข้อตกลงต่างๆเพื่อการอยู่ร่วมกัน เป็นต้น
               - บรรยากาศของห้องเรียน  บรรยากาศของห้องเรียนจะต้องส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข  และมีบรรยากาศที่สนับสนุนการมีวินัยในตนเอง  คือมีบรรยากาศแห่งความเป็นประชาธิปไตย  มีการอยู่ร่วมกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มีการยอมรับซึ่งกันและกัน  มีการดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกันเท่าที่จะทำได้  มีการให้กำลังใจเพื่อให้เด็กทำสิ่งต่างๆจนประสบความสำเร็จ  และให้โอกาสที่จะได้รับความสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆอย่างเท่าเทียมกัน
                - การจัดชั้นเรียน  ซึ่งประกอบด้วยการจัดการใน 3 ส่วน  ได้แก่การจัดการด้านกายภาพคือการจัดเรื่องพื้นที่ใช้สอย  พื้นที่ในการทำกิจกรรม  พื้นที่ในการจัดวางอุปกรณ์ เครื่องใช้ และช่องทางจราจรให้มีความสะดวก  มีความพอเพียงในการทำกิจกรรมเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน  การจัดการด้านจิตภาพ  ได้แก่การจัดให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  มีสิทธิและหน้าที่ที่เท่าเทียมกันและมีความเคารพในสิทธิหน้าที่ของแต่ละคน  นำไปสู่การมีวินัยในตนเอง  การจัดการส่วนที่สามคือการจัดการด้านสังคมภาพ  เป็นการจัดการเรื่องข้อกำหนด  กฏเกณฑ์  กติกา  ข้อตกลงต่างๆที่จะให้การดำเนินกิจกรรมประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่น  ซึ่งการตกลงเหล่านี้  ครูต้องเปิดโอกาสให้เด็กมีสิทธิและมีส่วนในการแสดงความคิดเห็น  ร่วมตกลง  หลังจากนั้นจะต้องร่วมกันปฏิบัติและดูแลให้ทุกคนปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นๆตลอดเวลา  การจัดการชั้นเรียนดังกล่าวจะเป็นวิธีการหนึ่งในการฝึกฝนให้เด็กรู้หน้าที่  มีความรับผิดชอบและมีวินีย
                 การพัฒนาพฤติกรรมความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย  จึงเริ่มโดยการฝึกหัดเกี่ยวกับพฤติกรรมในกิจวัตรประจำวัน  การทำกิจกรรมประจำวันที่เป็นไปตามกติกา กฎ ระเบียบ ข้อตกลงต่างๆโดยการแนะนำ  ฝึกฝน  ให้การสนับสนุนและการเป็นตัวแบบของผู้ใหญ่  ส่วนการสังเกตพฤติกรรมนั้นสามารถสังเกตขณะที่เด็กทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกิดวินัยในตนเอง และบันทึกไว้ในแบบบันทึกเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในการจัดประสบการณ์ของครูต่อไป

    วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    การส่งเสริมและพัฒนาทักษะด้านภาษาให้กับเด็กปฐมวัย

    ⚡️ บันทึกสะท้อนคิด วันศุกร์ ที่ 26 มิถุนายน 2558 ⚡️
                      เด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษา จากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวทั้งสิ่งแวดล้อมที่บ้าน และโรงเรียน เด็กจะเรียนรู้การฟังและการพูดก่อน เพราะการฟังและการพูดเป็นของคู่กัน เป็นพื้นฐานทางภาษา กล่าวคือ เมื่อฟังแล้วก็ย่อมต้องพูดสนทนาโต้ตอบได้ การเรียนภาษาของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสอนอย่างเป็นทางการ หรือตามหลักไวยกรณ์ แต่จะเป็นการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว หรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ
                       การสอนทักษะด้านการใช้ภาษายากกว่าทักษะอื่น การสอนทักษะอื่นผู้สอนสามารถช่วยเหลือเด็กให้เรียนรู้ในการทำทักษะด้วยการจับมือทำ เช่น จับมือเด็กเขียนวงกลม จับมือเด็กชี้ไปที่รูปภาพ จับมือเด็กจับช้อนตักอาหารใส่ปากเป็นต้น แต่การสอนทักษะการใช้ภาษา เราไม่สามารถช่วยเหลือให้เด็กพูดด้วยวิธีจับปากให้เด็กพูด การได้ยิน การพูดคุยเป็นประจำในชีวิตประจำวันตั้งแต่สัปดาห์แรกของชีวิตเท่านั้น จะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมการพูดของเด็กถ้าเด็กยังไม่ส่งเสียงคุย ให้ตรวจสอบความสนใจและการตอบสนองต่อผู่อื่นของเด็ก เพราะความสนใจมีความสำคัญในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่เฉพาะการสื่อสาร แต่ยังมีความสำคัญกับพัฒนาการทุกด้าน
                      แนวทางการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยให้ได้รับการเรียนรู้ภาษาแรกเริ่มควรยึดหลักการที่ว่าเด็กสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง หลักการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและกายภาพ การสร้างแรงจูงใจภายในให้กับเด็กเป็นแรงกระตุ้นการต้องการที่จะเรียนรู้ หลักการเรียนรู้ผ่านการเล่น และการจัดประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมให้กับเด็ก สำหรับครูปฐมวัยควรมีการปฏิบัติอย่างเหมาะสมที่จะส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้ภาษาของเด็ก โดยครูต้องมีความความเข้าใจในพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก รู้ในธรรมชาติความสนใจและความต้อวงการของเด็กและเรียนรู้เกี่ยวกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่โดยครูควรมีบทบาทในการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาแรกเริ่มดังนี้
                      1. การส่งเสริมบรรยากาศที่ดีสำหรับการเรียนรู้ ครูควรสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและรู้สึกอบอุ่นเพื่อให้เด็กรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและนำไปสู่การสร้างความรู้สึกมั่นใจในตนเองให้กับเด็ก ทั้งนี้
                     2. การจัดกิจกรรมทางภาษาควรคำนึงถึงบริบททางสังคมภาษาถิ่นและความแตกต่างทางเพศ
                     3. การ เปิดโอกาสให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่านกิจกรรมบูรณาการทักษะการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน
                     4. สนับสนุนการจัดประสบการณ์ทางภาษาเสริมเพื่อให้เด็กเกิดทักษะทางภาษาอ่านเขียนขั้นต้นและเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวหนังสือ
                     5. ยอมรับความสามารถของเด็กทุกคนและสิทธิของเด็กทุกคนในการเรียนรู้การอ่านเขียนเบื้องต้น
                     6. ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาแรกเริ่มสำหรับบุตร
                     จากการใช้วิธีการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาวิธีนี้ให้กับเด็ก สังเกตได้ว่าเด็กมีพัฒนาการด้านภาษาดีขึ้น  เด็กมีการสื่อสารและมีทักษะทางด้านการใช้ภาษาดีขึ้นในการสื่อสารกับเพื่อน คุณครูและการสื่อสารในการเรียนและการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นกว่าเดิม

    วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    เด็กไม่ยอมรับประทานอาหารกลางวัน


     🎉 บันทึกสะท้อนคิด วันพฤหัสบดี ที่ 25 มิถุนายน 2558 🎉
                 อาหารเป็นส่วนที่สําคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายเด็ก การรับประทานอาหาร พ่อ แม่ และครูควรปลูกฝัง ให้เด็กรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เพื่อเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีต่อการรับประทานอาหารจนติดเป็นนิสัย ตลอดจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ 
                  จากการสังเกตมีนักเรียนชั้นอนุบาล1/2   จํานวน23 คน เมื่อผ่านไปประมาณ 1เดือน   สังเกตเห็นว่าเวลาที่นักเรียนรับประทานอาหารกลางวัน   มีนักเรียนอยู่ 2 คน คือ เด็กชายพงศกร  เขียนสำโรง    เด็กชายชนาพันธ์   แสงสุวรรณ์ มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารดังนี้ เด็กชายพงศกร  เขียนสำโรง  จะหยิบขนมมา รับประทานแทนอาหารกลางวัน    ส่วนเด็กชายชนาพันธ์   แสงสุวรรณ์   จะเลือกรับประทานอาหารที่ตนเองชอบ 
                จากพฤติกรรมของนักเรียนที่เกิดขึ้นทำให้ครูสนใจที่จะหาวิธีปลูกฝังและปูพื้นฐานคุณลักษณะที่ดีให้กับนักเรียนเพื่อปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีในการรับประทานอาหารของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รู้ประโยชน์ของอาหาร ซึ่งเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้ร่างกายเติบโต  เพื่อให้นักเรียนมีสุขภาพแข็งแรงเจริญเติบโตสมวัย  เพื่อให้นักเรียนได้ตระหนักและเห็นถึงคุณค่าของการรับประทานอาหารกลางวัน ครูมีวิธีการแก้ไขัญหาและปลูกฝังให้เด็กหันมาสนใจรับประทานอาหารกลางวันดังนี้
                 1. ฝึกให้กินอาหารเป็นเวลา สม่ำเสมอ และควรกินพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นแบบอย่างและสร้างบรรยากาศการกินอาหารให้เด็ก
                 2.  เปิดโอกาสให้เด็กช่วยเหลือตัวเอง เรื่องการกินให้มากที่สุดตามวัย โดยค่อย ๆ ลดการให้ความช่วยเหลือลงตามลำดับ  ให้เด็กมีโอกาสถือหรือหยิบอาหารเข้าปากด้วยตัวเองบ้าง แม้จะเลอะเทอะไปบ้างก็ต้องยอม เด็กส่วนใหญ่สามารถตักอาหารเข้าปากได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องป้อน  เพียงแต่ให้ความช่วยเหลือบางส่วน
                 3. สังเกตชนิดและลักษณะอาหารที่เด็กชอบ ปรุงรสชาติให้ถูกปากเพราะเด็กสามารถแยกแยะรสชาติได้แล้ว
                 4. ขณะมื้ออาหารไม่ดูทีวี หรือเล่นของเล่นไปด้วย เพราจะทำให้เด็กไม่สนใจเรื่องกิน  ทำให้กินช้า อมข้าวและอิ่มเร็วโดยที่ยังกินได้น้อย
                 5.ให้เด็กรู้สึกหิวก่อนถึงมื้ออาหารโดยงดอาหารหรือขนมจุกจิกระหว่างมื้อ  ไม่ว่าจะเป็นขนมกรุบกรอบ น้ำหวาน  ไอศกรีม  ลูกอม ฯลฯ หากจะให้  ควรให้หลังอาหาร หากเด็กกินได้เหมาะสม
                 6. ไม่ใช้วิธีผิดๆ เพื่อให้เด็กกินมากขึ้น เช่น การตี ดุว่า บังคับ ใช้อารมณ์กับเด็กหรือการตามใจ ต่อรอง หรือให้รางวัลเกินความจำเป็น
                    จากการแก้ไขปัญหาและปลูกฝังให้เด็กรับประทานอาหารกลางวันด้วยวิธีนี้ จะสังเกตได้ว่าเด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นคือ เด็กมีความสนใจรับประทานอาหารกลางวันมากขึ้น