วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ให้เด็กปฐมวัย

💐   บันทึกสะท้อนคิด วันอังคาร ที่ 30 มิถุนายน 2558 💐
                จิตใจของเด็กวัยอนุบาลเปรียบเสมือนฟองน้ำที่พร้อมจะซึมซับทุกสิ่งผ่านเข้ามา และเก็บ สะสมข้อมูลที่ได้รับอยู่ตลอดเวลา หากเด็กได้รับการเลี้ยงดูแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม จะทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี เด็กจะยอมรับนับถือตนเอง ได้ รับการยอมรับจากผู้อื่น และเด็กก็จะมีความสุขมีกำลังใจ มีแรงจูงใจในการทำงานตามที่มุ่งหวัง และสามารถมีกระบวนการคิดแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ดี ทำให้ประสบความสำเร็จ ถ้าเด็กไม่สามารถทำได้ตามขั้นตอนพัฒนาการ เด็กจะรู้สึกเป็นปมด้อย และจะทำงานในขั้นตอนพัฒนาการที่สูงขึ้นได้ยาก
                ในขณะที่พัฒนาการด้านร่างกายของเด็กปฐมวัยมีการเจริญเติบโต พัฒนาการทางด้านอารมณ์ก็เช่นเดียวกัน เด็กวัยอนุบาลจะแสดงออกด้านอารมณ์เด่นชัดขึ้น มีความสนใจในเรื่องต่างๆค่อนข้างสั้น เวลาดีใจ เสียใจ โกรธ หรือกลัว ก็จะแสดงอารมณ์ออกมาเต็มที่ ได้แก่ กระโดด กอด ตบมือ โวยวาย ร้องไห้เสียงดัง ทุบตี ขว้างปาสิ่งของ ไม่พอใจเมื่อถูกห้าม ฯลฯ เพียงชั่วครู่ก็จะหายไป 
                 ครูควรอบรมสั่งสอนโดยการปลูกฝังคุณธรรมให้แก่เด็กตั้งแต่ยังเล็ก เริ่มจากการพัฒนาความเข้าใจของเด็ก ให้เข้าใจความ รู้สึกของผู้อื่น สร้างจิตสำนึกที่ดี รู้จักควบคุมตัวเอง ให้การยอมรับนับถือผู้ใหญ่ นอบน้อม มีสัมมาคารวะ รู้จักการขอบคุณ ขอโทษ เมตตาปรานี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความอดทน สามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักการรอคอย และเรียนรู้ที่จะแบ่ง ปัน ด้วยการพัฒนาคุณภาพภายในและภายนอกของเด็กไปพร้อมๆกัน ดังนี้
                   การพัฒนาภายใน หรือการพัฒนาแก่นแท้ของชีวิตในกิจวัตรประจำวัน เช่น การเก็บกระเป๋า ของเล่นของใช้ การรักษาความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ การพับเก็บเสื้อผ้า การเข้าแถวเคารพธงชาติ การสวดมนต์ ฯลฯ การฟังนิทานส่งเสริมคุณธรรม เช่น นิทานชาดก การเข้าร่วมพิธีทางศาสนาที่นับถือ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ อาทิ การทำงานศิลปะ งานประดิษฐ์
                    การพัฒนาภายนอก หรือการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเด็กทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทั้งในส่วนของเนื้อหาสาระวิชาการ ทักษะการงาน และการดูแลตนเอง รวมถึงความสามารถที่จะระบุคุณค่าแท้ของสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของเด็กตามความเหมาะสมของวัย และความพร้อมของประสบการณ์ผ่านกิจกรรมหลากหลายทั้งที่เป็นวิถีชีวิต เช่น การเล่นแบบมีกติกา การบริการผู้อาวุโส การสนทนา การกล่าวคำขอบคุณ ขอโทษ การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน การปลูกผัก การทำอาหาร และการทำงานศิลปะ เป็นต้น
                   การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้เกิดกับเด็กปฐมวัยนั้น ควรเน้นให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเกิดเป็นความคุ้นชิน เด็กได้มีโอกาสฝึกคิดแก้ปัญหา เชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้ ลงสู่การปฏิบัติ รู้จักธรรมชาติของการงานที่กำลังทำอยู่ว่า ควรจัดการกับงานนั้นๆเพื่อให้ได้ผลงานออกมาตรงตามที่ต้องการ โดยการกระทำแต่ละอย่างด้วยความประณีต ละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นการเล่น การทำงานฝีมือ การเคลื่อนไหวร่างกาย การทำอาหาร ตลอดจนการสนทนาพูด คุย ฯลฯ ซึ่งเมื่อเด็กมีประสบการณ์ตรงต่อสิ่งที่เขาเรียนรู้ ก็จะเกิดการจดจำได้ดียิ่งกว่าการท่องจำจากหนังสือหรือคำบอกของผู้ใหญ่ เมื่อเด็กได้เรียนรู้สิ่งที่ตนเองมีประสบการณ์ในมิติต่างๆจากการตั้งคำถามและการเชื่อมโยงของครูผู้สอน เด็กก็จะสามารถคิดพิจารณาอย่างใคร่ครวญด้วยตนเองได้ว่า เขาสามารถนำการเรียนรู้ที่ได้รับไปใช้ในวิถีชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง อะไรคือ คุณค่าที่แท้ และอะไรคือ คุณค่าที่เทียม เด็กก็จะสามารถพัฒนาทักษะการคิด การตัดสินใจ ตลอดจนการกระทำและการปฏิบัติสิ่งต่างๆที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ในที่สุด
                 


การพัฒนาวินัยเด็กด้วยกิจกรรมการจัดเก็บของเล่น

🔰 บันทึกสะท้อนคิด วันจันทร์ ที่ 29 มิถุนายน 2558 🔰 
                   วินัยในตนเองคือความสามารถในการบังคับพฤติกรรมของตนเองด้วยตนเองซึ่งมีวุฒิภาวะประเภทหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนควรมี  สำหรับการพัฒนาคุณธรรมด้านการมีวินัยในเด็กปฐมวัยในสถานศึกษานั้น  สามารถพัฒนาไปพร้อมๆกันทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสังคม ซึ่งต้องอาศัยเวลาและการฝึกปฏิบัติให้เด็กมีโอกาสแสดงพฤติกรรมที่เอื้ออำนวย เด็กจะได้รับประสบการณ์จากการปฏิบัติกิจกรรมและพัฒนาไปสู่การมีวินัยในตนเองและวินัยต่อส่วนรวมในที่สุด การพัฒนาคุณธรรมด้านการมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัยสามารถพัฒนาจากกิจกรรม  สภาพแวดล้อม  บรรยากาศของห้องเรียนและการจัดการชั้นเรียน  กิจกรรมที่สนับสนุนการมีวินัยในตนเอง  สารมารถจัดได้ในกิจกรรมดังต่อไปนี้
             - การปฏิบัติตนในกิจวัตรประจำวัน  ซึ่งได้แก่การสนับสนุนให้เด็กปฏิบัติกิจวัตรประจำวันที่เกี่ยวข้องกับตนเองในเวลาที่กำหนดให้  เช่น  การเล่น  การพักผ่อน  การรับประทาน  การทำความสะอาดร่างกาย ฯลฯ
              - การปฏิบัติตนในกิจกรรมประจำวันที่สถานศึกษากำหนด  ซึ่งได้แก่การสนับสนุนให้เด็กปฏิบัติตามเวลาของการทำกิจกรรมที่กำหนดและทำตามข้อตกลงหรือข้อกำหนดของการทำกิจกรรมนั้นๆ  เช่น  การเล่นตามมุมประสบการณ์หลังจากปฏิบัติกิจกรรมสร้างสรรค์แล้ว  การเลิกเล่นเมื่อได้ยินสัญญาณให้เลิกพร้อมกับเก็บอุปกรณ์เข้าที่อย่างเรียบร้อย  เป็นต้น
               - การจัดประสบการณ์ให้เด็กรับฟัง  รับรู้  มีส่วนร่วม  เกี่ยวกับการมีวินัยในตนเองที่มีผลต่อตนเอง  ต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม  เช่น  การให้ฟังนิทานแล้วแสดงความคิดเห็น  การฟังสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้น  แล้วร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึงข้อดีข้อเสียและกำหนดเป็นแนวทางหรือวิธีที่พึงปฏิบัติ  การให้ร่วมกันกำหนดกติกา  กฏเกณฑ์  ข้อตกลงต่างๆเพื่อการอยู่ร่วมกัน เป็นต้น
               - บรรยากาศของห้องเรียน  บรรยากาศของห้องเรียนจะต้องส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข  และมีบรรยากาศที่สนับสนุนการมีวินัยในตนเอง  คือมีบรรยากาศแห่งความเป็นประชาธิปไตย  มีการอยู่ร่วมกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มีการยอมรับซึ่งกันและกัน  มีการดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกันเท่าที่จะทำได้  มีการให้กำลังใจเพื่อให้เด็กทำสิ่งต่างๆจนประสบความสำเร็จ  และให้โอกาสที่จะได้รับความสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆอย่างเท่าเทียมกัน
                - การจัดชั้นเรียน  ซึ่งประกอบด้วยการจัดการใน 3 ส่วน  ได้แก่การจัดการด้านกายภาพคือการจัดเรื่องพื้นที่ใช้สอย  พื้นที่ในการทำกิจกรรม  พื้นที่ในการจัดวางอุปกรณ์ เครื่องใช้ และช่องทางจราจรให้มีความสะดวก  มีความพอเพียงในการทำกิจกรรมเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน  การจัดการด้านจิตภาพ  ได้แก่การจัดให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข  มีสิทธิและหน้าที่ที่เท่าเทียมกันและมีความเคารพในสิทธิหน้าที่ของแต่ละคน  นำไปสู่การมีวินัยในตนเอง  การจัดการส่วนที่สามคือการจัดการด้านสังคมภาพ  เป็นการจัดการเรื่องข้อกำหนด  กฏเกณฑ์  กติกา  ข้อตกลงต่างๆที่จะให้การดำเนินกิจกรรมประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่น  ซึ่งการตกลงเหล่านี้  ครูต้องเปิดโอกาสให้เด็กมีสิทธิและมีส่วนในการแสดงความคิดเห็น  ร่วมตกลง  หลังจากนั้นจะต้องร่วมกันปฏิบัติและดูแลให้ทุกคนปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นๆตลอดเวลา  การจัดการชั้นเรียนดังกล่าวจะเป็นวิธีการหนึ่งในการฝึกฝนให้เด็กรู้หน้าที่  มีความรับผิดชอบและมีวินีย
                 การพัฒนาพฤติกรรมความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย  จึงเริ่มโดยการฝึกหัดเกี่ยวกับพฤติกรรมในกิจวัตรประจำวัน  การทำกิจกรรมประจำวันที่เป็นไปตามกติกา กฎ ระเบียบ ข้อตกลงต่างๆโดยการแนะนำ  ฝึกฝน  ให้การสนับสนุนและการเป็นตัวแบบของผู้ใหญ่  ส่วนการสังเกตพฤติกรรมนั้นสามารถสังเกตขณะที่เด็กทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกิดวินัยในตนเอง และบันทึกไว้ในแบบบันทึกเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในการจัดประสบการณ์ของครูต่อไป

    วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    การส่งเสริมและพัฒนาทักษะด้านภาษาให้กับเด็กปฐมวัย

    ⚡️ บันทึกสะท้อนคิด วันศุกร์ ที่ 26 มิถุนายน 2558 ⚡️
                      เด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษา จากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวทั้งสิ่งแวดล้อมที่บ้าน และโรงเรียน เด็กจะเรียนรู้การฟังและการพูดก่อน เพราะการฟังและการพูดเป็นของคู่กัน เป็นพื้นฐานทางภาษา กล่าวคือ เมื่อฟังแล้วก็ย่อมต้องพูดสนทนาโต้ตอบได้ การเรียนภาษาของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสอนอย่างเป็นทางการ หรือตามหลักไวยกรณ์ แต่จะเป็นการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว หรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ
                       การสอนทักษะด้านการใช้ภาษายากกว่าทักษะอื่น การสอนทักษะอื่นผู้สอนสามารถช่วยเหลือเด็กให้เรียนรู้ในการทำทักษะด้วยการจับมือทำ เช่น จับมือเด็กเขียนวงกลม จับมือเด็กชี้ไปที่รูปภาพ จับมือเด็กจับช้อนตักอาหารใส่ปากเป็นต้น แต่การสอนทักษะการใช้ภาษา เราไม่สามารถช่วยเหลือให้เด็กพูดด้วยวิธีจับปากให้เด็กพูด การได้ยิน การพูดคุยเป็นประจำในชีวิตประจำวันตั้งแต่สัปดาห์แรกของชีวิตเท่านั้น จะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมการพูดของเด็กถ้าเด็กยังไม่ส่งเสียงคุย ให้ตรวจสอบความสนใจและการตอบสนองต่อผู่อื่นของเด็ก เพราะความสนใจมีความสำคัญในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่เฉพาะการสื่อสาร แต่ยังมีความสำคัญกับพัฒนาการทุกด้าน
                      แนวทางการส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยให้ได้รับการเรียนรู้ภาษาแรกเริ่มควรยึดหลักการที่ว่าเด็กสามารถสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง หลักการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและกายภาพ การสร้างแรงจูงใจภายในให้กับเด็กเป็นแรงกระตุ้นการต้องการที่จะเรียนรู้ หลักการเรียนรู้ผ่านการเล่น และการจัดประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมให้กับเด็ก สำหรับครูปฐมวัยควรมีการปฏิบัติอย่างเหมาะสมที่จะส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้ภาษาของเด็ก โดยครูต้องมีความความเข้าใจในพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก รู้ในธรรมชาติความสนใจและความต้อวงการของเด็กและเรียนรู้เกี่ยวกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่โดยครูควรมีบทบาทในการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาแรกเริ่มดังนี้
                      1. การส่งเสริมบรรยากาศที่ดีสำหรับการเรียนรู้ ครูควรสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและรู้สึกอบอุ่นเพื่อให้เด็กรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและนำไปสู่การสร้างความรู้สึกมั่นใจในตนเองให้กับเด็ก ทั้งนี้
                     2. การจัดกิจกรรมทางภาษาควรคำนึงถึงบริบททางสังคมภาษาถิ่นและความแตกต่างทางเพศ
                     3. การ เปิดโอกาสให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นผ่านกิจกรรมบูรณาการทักษะการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน
                     4. สนับสนุนการจัดประสบการณ์ทางภาษาเสริมเพื่อให้เด็กเกิดทักษะทางภาษาอ่านเขียนขั้นต้นและเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวหนังสือ
                     5. ยอมรับความสามารถของเด็กทุกคนและสิทธิของเด็กทุกคนในการเรียนรู้การอ่านเขียนเบื้องต้น
                     6. ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาแรกเริ่มสำหรับบุตร
                     จากการใช้วิธีการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาวิธีนี้ให้กับเด็ก สังเกตได้ว่าเด็กมีพัฒนาการด้านภาษาดีขึ้น  เด็กมีการสื่อสารและมีทักษะทางด้านการใช้ภาษาดีขึ้นในการสื่อสารกับเพื่อน คุณครูและการสื่อสารในการเรียนและการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นกว่าเดิม

    วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    เด็กไม่ยอมรับประทานอาหารกลางวัน


     🎉 บันทึกสะท้อนคิด วันพฤหัสบดี ที่ 25 มิถุนายน 2558 🎉
                 อาหารเป็นส่วนที่สําคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายเด็ก การรับประทานอาหาร พ่อ แม่ และครูควรปลูกฝัง ให้เด็กรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เพื่อเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีต่อการรับประทานอาหารจนติดเป็นนิสัย ตลอดจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ 
                  จากการสังเกตมีนักเรียนชั้นอนุบาล1/2   จํานวน23 คน เมื่อผ่านไปประมาณ 1เดือน   สังเกตเห็นว่าเวลาที่นักเรียนรับประทานอาหารกลางวัน   มีนักเรียนอยู่ 2 คน คือ เด็กชายพงศกร  เขียนสำโรง    เด็กชายชนาพันธ์   แสงสุวรรณ์ มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารดังนี้ เด็กชายพงศกร  เขียนสำโรง  จะหยิบขนมมา รับประทานแทนอาหารกลางวัน    ส่วนเด็กชายชนาพันธ์   แสงสุวรรณ์   จะเลือกรับประทานอาหารที่ตนเองชอบ 
                จากพฤติกรรมของนักเรียนที่เกิดขึ้นทำให้ครูสนใจที่จะหาวิธีปลูกฝังและปูพื้นฐานคุณลักษณะที่ดีให้กับนักเรียนเพื่อปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีในการรับประทานอาหารของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รู้ประโยชน์ของอาหาร ซึ่งเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้ร่างกายเติบโต  เพื่อให้นักเรียนมีสุขภาพแข็งแรงเจริญเติบโตสมวัย  เพื่อให้นักเรียนได้ตระหนักและเห็นถึงคุณค่าของการรับประทานอาหารกลางวัน ครูมีวิธีการแก้ไขัญหาและปลูกฝังให้เด็กหันมาสนใจรับประทานอาหารกลางวันดังนี้
                 1. ฝึกให้กินอาหารเป็นเวลา สม่ำเสมอ และควรกินพร้อม ๆ กันเพื่อเป็นแบบอย่างและสร้างบรรยากาศการกินอาหารให้เด็ก
                 2.  เปิดโอกาสให้เด็กช่วยเหลือตัวเอง เรื่องการกินให้มากที่สุดตามวัย โดยค่อย ๆ ลดการให้ความช่วยเหลือลงตามลำดับ  ให้เด็กมีโอกาสถือหรือหยิบอาหารเข้าปากด้วยตัวเองบ้าง แม้จะเลอะเทอะไปบ้างก็ต้องยอม เด็กส่วนใหญ่สามารถตักอาหารเข้าปากได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องป้อน  เพียงแต่ให้ความช่วยเหลือบางส่วน
                 3. สังเกตชนิดและลักษณะอาหารที่เด็กชอบ ปรุงรสชาติให้ถูกปากเพราะเด็กสามารถแยกแยะรสชาติได้แล้ว
                 4. ขณะมื้ออาหารไม่ดูทีวี หรือเล่นของเล่นไปด้วย เพราจะทำให้เด็กไม่สนใจเรื่องกิน  ทำให้กินช้า อมข้าวและอิ่มเร็วโดยที่ยังกินได้น้อย
                 5.ให้เด็กรู้สึกหิวก่อนถึงมื้ออาหารโดยงดอาหารหรือขนมจุกจิกระหว่างมื้อ  ไม่ว่าจะเป็นขนมกรุบกรอบ น้ำหวาน  ไอศกรีม  ลูกอม ฯลฯ หากจะให้  ควรให้หลังอาหาร หากเด็กกินได้เหมาะสม
                 6. ไม่ใช้วิธีผิดๆ เพื่อให้เด็กกินมากขึ้น เช่น การตี ดุว่า บังคับ ใช้อารมณ์กับเด็กหรือการตามใจ ต่อรอง หรือให้รางวัลเกินความจำเป็น
                    จากการแก้ไขปัญหาและปลูกฝังให้เด็กรับประทานอาหารกลางวันด้วยวิธีนี้ จะสังเกตได้ว่าเด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นคือ เด็กมีความสนใจรับประทานอาหารกลางวันมากขึ้น
     

    วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    การพัฒนากล้ามเนื้อเล็กให้เด็กปฐมวัย

    😇  บันทึกสะท้อนคิด วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2558 😇
                       เด็กในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา แต่พัฒนาการที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน คือ พัฒนาการด้านร่างกาย โดยสังเกตได้จากการเจริญเติบโตของร่างกายอันได้แก่ส่วนที่เป็นน้ำหนักตัวและส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลมาจากภาวะโภชนาการและพฤติกรรมการบริโภคของเด็ก ตลอดจนการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกินจากครอบครัวและโรงเรียน 
                       กล้ามเนื้อเล็กของเด็กปฐมวัยได้แก่ กล้ามเนื้อนิ้วมือและกล้ามเนื้อตา กล้ามเนื้อทั้งสองส่วนมีความเกี่ยวข้องกับความสามารถในการเขียนของเด็ก เนื่องจากกล้ามเนื้อเล็กเป็นกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหยิบจับสิ่งของตุ๊กตาและของเล่น การดึง การกด การหยอดบล็อก ตลอดจนการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เช่น การติดกระดุม การผูกเชือกรองเท้า การจับช้อน - ส้อมในการรับประทานอาหาร การอาบน้ำแปรงฟัน  ฯลฯ
                       การพัฒนากล้ามเนื้อเล็กจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการใช้กล้ามเนื้อเล็กได้อย่างประสานสัมพันธ์ พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อเล็กของเด็กเป็นพัฒนาการที่เป็นพื้นฐานของการเขียน ครูและผู้ปกครองส่วนมากมักผลักดันเด็กให้ฝึกเขียนในขณะที่เด็กยังไม่พร้อม กล้ามเนื้อเล็กยังไม่พัฒนา ทำให้เด็กไม่มีความสุข และไม่สนุกกับการเขียน ก่อนที่ครูจะให้เด็กเขียน จึงต้องพิจารณาสิ่งต่างๆดังต่อไปนี้   พัฒนาการทางกล้ามเนื้อเล็ก  การประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา   ความสามารถในการจับดินสอ  ความสามารถในการขีดเส้นพื้นฐาน การรับรู้ตัวอักษร  ความคุ้นเคยกับตัวอักษร   ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็กมีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน โดยกล้ามเนื้อเล็กเป็นอวัยวะหนึ่งในการประกอบกิจกรรมต่างๆของเด็ก เช่น ติดกระดุม การผูกเชือกรองเท้า การเทน้ำใส่แก้ว การดื่มนม การรับ ประทานอาหาร การทำงานศิลปะ รวมทั้งการขีดเขียน ถ้าเด็กสามารถใช้กล้ามเนื้อเล็กได้อย่างคล่องแคล่ว จะช่วยพัฒนาเด็กให้มีพัฒนาการทางด้านต่างๆดีไปพร้อมๆกัน ดังนั้นครูจึงจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อเล็กให้กับเด็กดังนี้
             1. การปั้น ได้แก่ การปั้นดินน้ำมัน การปั้นดินเหนียว การปั้นทรายผสมกาวและน้ำ การปั้นแป้งโด เป็นเรื่องราวหรือตามจินตนาการของเด็ก การใช้หมุดหรือไม้จิ้มฟันเล่นกับแป้งโด การใช้มีดพลาสติกตัดแป้งโด
            2. การวาดภาพระบายสี เช่น การวาดภาพด้วยสีไม้หรือสีเทียน 
             3. งานกระดาษ เช่น การฉีก พับ ตัด ปะกระดาษ  การม้วนกระดาษ การถักสานกระดาษ
             4. มุมเครื่องเล่นสัมผัส เช่น การร้อยลูกปัด การร้อยดอกไม้ การเย็บกระดุม การรูดซิป การเรียงสี การเล่นหรือเรียงไม้หนีบ การปักหมุด การหยอดบล็อก
             5. มุมบล็อก เช่น การต่อบล็อกต่างๆ บล็อกไม้ บล็อกพลาสติก บล็อกชุด บล็อกกลวง บล็อกผลิตเอง การต่อตัวต่อพลาสติกต่างๆ
             6. การฝึกลีลามือ เป็นกิจกรรมเตรียมความพร้อมไปสู่ทักษะการเขียน เช่น การลากเส้นจากซ้ายไปขวา การลากเส้นจากบนลงล่าง การเขียนเส้นโค้ง การลากเส้นตามรอยประ การเขียนเส้นพื้นฐานต่างๆเพื่อฝึกความมั่นคงของการใช้มือ นิ้วมือ และการประสานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมือกับตา
                     นอกจากครูจะมีบทบาทสำคัญในการจัดประสบการณ์ตามตารางกิจกรรมประจำวันให้เด็กได้ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อเล็กแล้ว ครูยังมีบทบาทในการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมภายในและนอกห้องเรียน ให้มีวัสดุอุปกรณ์และเครื่องเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อเล็กด้วย เช่น การจัดเตรียมหรือจัดระบบของมุมประสบการณ์ในห้องเรียน และจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์ประจำมุมอย่างเพียงพอและหลากหลาย ครูควรจัดทำบันทึกพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อเล็กของเด็กเป็นรายบุคคลเพื่อจะได้ทราบถึงความก้าวหน้า และถ้าเด็กมีพัฒนาการล่าช้าจะได้จัดกิจกรรมเสริมได้ และไม่ควรจะบังคับให้เด็กทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือนกันทั้งห้องเนื่องจากเด็กอาจมีพัฒนาการช้าเร็วแตกต่างกัน และให้เด็กเริ่มเขียนอ่านเมื่อเห็นว่าเด็กมีความพร้อมแล้วเท่านั้น

    วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    แก้ไขพฤติกรรมเด็กติดนิ้ว

    🔰 บันทึกสะท้อนคิด วันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2558 🔰
               พฤติกรรม ‘ติดนิ้ว’ ถ้าเป็นช่วงเด็กเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าติดมาจนโตเข้าสู่วัยก่อนวัยเรียนก็นับว่าเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องแก้ไขกันแล้วค่ะ  เพราะฉะนั้นหากพบว่าเด็กเริ่มดูดนิ้วให้หยุดพฤติกรรมตั้งแต่แรกเห็น  ไม่ควรปล่อยไว้นานจะแก้ไขยากค่ะ  เด็กเล็กมักจะดูดนิ้วมือเพื่อความพึงพอใจในตัวเอง ต้องการกล่อมตัวเองในขณะที่กำลังจะหลับ หรือเพราะขาดความมั่นใจ ขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่ จึงหาทางออกด้วยการดูดนิ้วเพื่อปลดปล่อยความกลัวเหล่านั้น เรียกได้ว่าเป็นการระบายความเครียดเบื้องต้นของตัวเด็กเอง  คุณครูสามารถสังเกตได้ว่า เด็กดูดนิ้วเพราะความหิว ความเหนื่อยหรือความกลัว ควรรีบแก้ไขสถานการณ์นั้นๆ โดยปกติเด็กที่ดูดนิ้วมือมักจะเลิกเองโดยธรรมชาติเช่นกันค่ะ โดยไม่มีระยะเวลากำหนดที่แน่นอน แต่โดยทั่วไปไม่น่าเกิน 4-5 ปี แต่ถ้านานกว่านั้นแล้วเด็กยังไม่เลิกดูดนิ้ว อาจส่งผลเสียต่อฟันแท้ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ค่ะ
                ครูจึงได้หาวิธีการแก้ไขปัญหาดังนี้
    1. ต้องหมั่นดึงนิ้วมือออกจากปากของเด็ก เวลาที่เห็นเขาเริ่มที่จะเอานิ้วเข้าปากอีก และให้เขาหันมาเล่นของเล่นอื่นแทน
    2. หากิจกรรมให้เด็กทำก่อนจะนอน เช่น การเล่านิทาน การพูดคุยกันในระหว่างวัน ร้องเพลงกล่อม เพื่อให้เด็กหลับง่ายขึ้นโดยไม่ต้องดูดนิ้วเพื่อกล่อมตัวเอง
    3. ช่วงกลางวันให้เด็กได้มีกิจกรรมเคลื่อนไหว ออกกำลังกายตามสมควร ส่งผลให้หลับง่ายขึ้นในช่วงนอนกลางวัน
    4. อย่าใช้วิธีบังคับ ดุด่าหรือตีมือเพื่อให้เลิกดูดนิ้ว เพราะวิธีนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วยังจะทำให้เกิดความกลัว และความกลัวนั่นแหละค่ะ คือที่มาอย่างหนึ่งของการดูดนิ้ว
    5.  คุณครูควรชักจูงด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ให้กำลังใจ หรือให้ของขวัญเวลาที่เด็กทำดี  ที่เลิกเอานิ้วเอานิ้วเข้าปากค่ะ    
                    จากการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีดังกล่าว สังเกตได้ว่า ช่วยลดพฤติกรรมการติดนิ้วของเด็กได้ผลดี แต่อย่างไรก็ตามยังต้องอาศัยเวลาสักพักเด็กก็จะเลิกพฤติกรรมการดูดนิ้วได้

    วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    เด็กไม่ยอมแปรงฟันหลังรับประทานอาหารกลางวัน

    🎃 บันทึกสะท้อนคิด วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2558 🎃
                   มีเด็กนักเรียนในห้อง 3 คนที่ไม่ยอมแปรงฟันกับเพื่อนๆ รับประทานอาหารกลางวันเสร็จก็จะชอบไปนั่งชิดฝาแล้วนั่งซึมบอกว่าไม่อยากแปรงฟัน คุณครูจึงจำเป็นจะต้องหาวิธีแก้ไขปัญหานี้เพราะในช่วงนี้ฟันของเด็กจะมีโอกาสเสี่ยงจากฟันผุจากเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก รวมถึงอาหารและนมที่เด็กได้รับล้วนเป็นสาเหตุของฟันผุได้ทั้งสิ้นดังนั้นการดูแลและป้องกันฟันผุให้เด็กจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การดูแลสุขภาพปากและฟัน ควรได้รับการปลูกฝังอย่างเหมาะสมและถูกวิธี  คุณครูจึงมีวิธีการแก้ไขปัญหาดังนี้
                  1.หาแรงจูงใจ หาหนังสือนิทานภาพสวย ๆ เกี่ยวกับตัวเอกที่ไม่ยอมแปรงฟันแล้วเลยปวดฟันมาอ่านให้เขาฟังก่อนนอน ชี้ชวนกันไปอ่านไปด้วยกัน และพยายามกระตุ้นให้เค้ามีความรู้สึกอยากที่จะแปรงฟัน นิทานแนวนี้มีอยู่หลายเรื่องลองหามาเล่าให้เด็กๆฟังค่ะ
                  2.เล่นสนุกไปด้วยกัน เด็กวัยนี้บางทีอาจยังแปรงฟันไม่สะอาดไม่ทั่วถึง ต้องทำใจแค่เขายอมแปรงฟันก็ยังดีค่ะ เวลาจะแปรงฟันคุณครูต้องแปรงไปพร้อม ๆ กับเค้า แบบชวนกันแปรงฟัน ทำน้ำเสียงให้รื่นเริงเช่น "ไปแปรงฟันกันนะค่ะเดี๋ยวจะได้มาฟังนิทาน" "ไปแปรงฟันแข่งกันแล้วเดี๋ยวมาดูการ์ตูนก่อนนอนนะค่ะ" 
                 3.ชมเชยและให้กำลังเมื่อเขายอมแปรงฟันดี ๆ อาจชมกับตัวเขาเอง หรือทำเป็นเล่าให้คนอื่นฟังต่อหน้าเขาว่าเขาเก่งจังเดี๋ยวนี้แปรงฟันเองได้แล้วด้วย หรืออาจชมเด็กคนอื่น เช่น เด็กในโทรทัศน์คนนี้วทำไมฟันสวยจัง ไม่มีแมงกินฟันเลย แบบนี้แสดงว่าเค้าต้องแปรงฟันทุกวันแน่ๆเลย ใครอยากฟันสวยเหมือนเพื่อนในโทรทัศน์ต้องแปรงฟันทุกวันนะค่ะ

                   จากการแก้ไขปัญหาเด็กไม่ยอมแปรงฟันหลังรับประทานอาหารกลางวันด้วยวิธีดังกล่าว สังเกตได้ว่าเด็กมีความต้องการจะแปรงฟัน เริ่มอยากที่จะแปรงฟันกับเพื่อนๆ และแปรงฟันเองโดยที่คุณครูไม่ต้องบอก

    วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    เด็กติดขวดนม

    🔵 บันทึกสะท้อนคิด  วันศุกร์ ที่ 19 มิถุนายน 2558 🔵

                  ตั้งแต่เปิดเทอมสังเกตได้ว่ามีเด็กที่มีพฤติกรรมชอบดูดขวดนมในขณะนอนพักผ่อนเวลากลางวัน  เพื่อแก้ปัญหาพฤติกรรมการดูดขวดนมขณะนอนพักผ่อนกลางวัน ครูจึงมีวิธีการแก้ไขดังนี้
                             
                             1. ครูชักชวนให้เด็กเลิกดูดนมจากขวดโดยให้เด็กดื่มนมจากหลอดแทน
                             2. ครูเล่านิทาน  เรื่อง  น้องหมีดูดขวดนม
                             3. ครูสนทนาเกี่ยวกับโทษของการดูดขวดนมว่าทำให้ฟันเหยินไม่สวย


               จาการสังเกตพฤติกรรม   มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น  เลิกพฤติกรรมติดขวดนมเวลานอนพักผ่อน หันมาดื่มนมจากหลอดแทนการดูดจากขวด                                                                                               

    วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    เด็กติดการ์ตูน

    🎂   บันทึกสะท้อนคิด วันพฤหัสบดี ที่ 18 มิถุนายน 2558    🎂
               ปัญหาเด็กติดการ์ตูนเป็นความกังวลใจของครูอีกปัญหานึง   เนื่องจากเด็กมีความโปรดปรานการ์ตูนเสียจนไม่ยอมทำการบ้าน ไม่ออกไปรับประทานอาหาร   ไม่เข้าร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆที่ครูจัดให้    ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ แต่จะทำอย่างไรเมื่อเด็กกับการ์ตูนเป็นสิ่งคู่กัน มุมมองต่างๆอาจเปลี่ยนไปเมื่อคำ ตอบของปัญหาต่างๆอาจไม่ได้มาจากตัวเด็กร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มาจากการปลูกฝังและการเลี้ยงดูของผู้ปกครองที่เริ่มให้ลูกรู้ จักการ์ตูน ถึงเวลาที่ผู้ปกครองจะเปิดใจและเริ่มเรียนรู้พัฒนาการของเด็กและการ์ตูนไปพร้อมๆกัน
               พูดถึงรูปแบบการเลี้ยงดูบุตรหลานให้ว่าง่าย เชื่อฟัง และอยู่สงบเป็นที่เป็นทางเพื่อไปรบกวนการทำงานของคุณพ่อคุณแม่วัยทำงาน การ์ตูนคงเป็นเสมือนธรรมเนียมปฏิบัติที่ผู้ปกครองหลายท่านเลือกที่จะนำมา “เลี้ยงดู” ลูกๆตัวน้อยในวัยซน เพื่อให้เขาอยู่นิ่งและเพื่อที่คุณพ่อคุณแม่จะได้มีเวลาทำงานบ้านและกิจกรรมอย่างอื่นมากขึ้น การเลี้ยงดูเด็กด้วยสื่อการ์ตูนบนหน้าจอโทรทัศน์นั้นล้วนมีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีส่วนใหญ่คือ ผู้ปกครองมีเวลาทำกิจกรรมที่นอกเหนือจากการเลี้ยงดูลูกมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่ข้อเสียของการเลี้ยงดูลูกด้วยการให้ชมการ์ตูนนั้นตกลงอยู่ที่ตัวเด็กล้วนๆ ซึ่งคือ อาการเด็กติดการ์ตูน และจะทำอย่างไรเมื่อปัญหาเด็กติดการ์ตูนเกิดขึ้นกับลูกของเราโดยไม่คาดคิด ต่อไปนี้เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเด็กติดการ์ตูนซึ่งทำได้โดยง่าย ดังนี้
                  1. นำสื่อสร้างสรรค์อื่นๆมาดึงดูดความสนใจของเด็ก เช่น สื่อคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา สื่อวิดีโอสารคดีต่างแดน หรืออาจนำของเล่นที่มีหน้าตาเป็นตัวการ์ตูนเพื่อดึงความสนใจของลูกให้ออกห่างจากจอทีวีมากขึ้น     
                  2. ครูอาจมอบหมายงานที่สร้างสรรค์ที่เด็กสามารถทำร่วมไปกับการดูการ์ตูนอย่างสร้างสรรค์แล้วนำมาเล่าให้ครูฟัง เช่น จับผิดพฤติกรรมตัวร้ายในการ์ตูนที่เด็กชอบดูเป็นประจำ หรือจับใจความสำคัญในแต่ละตอน การฝึกให้เด็กช่างสังเกตในสิ่งที่เขาไม่เคยใส่ใจมาก่อนเป็นจุดเริ่มที่จะฝึกหัดให้เขาสนใจสิ่งเล็กๆรอบข้างในชีวิต 
                   3. จัดให้มีกิจกรรมสร้างสรรค์ทางผลงานในหมู่ผองเพื่อน อาจเชิญชวนเด็กมาทำกิจกรรมศิลปะกับเพื่อนๆ การได้พบปะเพื่อนฝูงจะเสริมสร้างให้เด็กมีพัฒนาการทางสังคมที่ดีขึ้น และเด็กจะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อได้พบหน้าเพื่อนๆ
                    ในที่สุดเด็กก็จะค่อยๆสามารถปรับตัวได้และลดพฤติกรรมการติดการ์ตูนได้ แต่ต้องใช้เวลาสักพักนึง


    วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    เด็กไม่ทานนม

    🎁 บันทึกสะท้อนคิด วันพุธ ที่ 17 มิถุนายน 2558 🎁


            จากการสังเกตพฤติกรรมการรับประทานนมของเด็ก พบว่า เด็กในห้องจำนวน 2 คน จะไม่รับประทานนม  คุณครูสังเกตเห็นว่า ด.. นวพล อินทวารี และด..สุชาดา สุมาลุ จะไม่ยอมดื่มนมและชอบกัดหลอดเล่น ทำให้เกิดผลท่ีตามมาคือส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กเนื่องจากไม่ได้ รับประทานนม  ที่สำคัญจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กเนื่องจากไม่ได้รับสารอาหารท่ีครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการ
              ครูจึงหาวิธีการมาปรับและลดพฤติกรรมและปลูกฝังนิสัยให้เด็กชอบรับประทานนม  เพื่อปลูกฝังนิสัยให้เด็กชอบรับประทานนม เพื่อลดปัญหาการทิ้งถุงนมที่เด็กบางคนยังไม่ได้รับประทาน  เพื่อให้เด็กได้รับบสารอาหารจากการรับประทานนม  ข้าพเจ้าได้ทำการแก้ไขโดยการจัดกิจกรรมการเต้นประกอบเพลงกายบริหาร มามีส่วนช่วยให้เด็กมาสนใจดื่มนม 
               การท่ีให้ ด.. นวพล  อินทวารี และ ด..สุชาดา  สุมาลุ ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆในการ
     ออกกำลังกาย โดยครูเป็นผู้แนะนำให้เด็ก เห็นถึงประโยชน์ของการดื่มนม เช่น ทำให้ผิวสวย ฟันแข็งแรง เป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับเด็ก และทุกครั้งที่ทำกิจกรรมการเต้นประกอบเพลงกายบริหาร นักเรียนจะมี ความสุขมากท่ีได้ร่วมทำกิจกรรม นักเรียนเกิดความภาคภูมิใจท่ีได้เต้นเพลงประกอบกายบริหารร่วมกับเพื่อนๆ ส่งผลให้นักเรียนที่ไม่ชอบดื่มนมเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมมาดื่มนมมากข้ึน จะสังเกตได้ว่ากิจกรรมการ เต้นประกอบเพลงกายบริหาร ทำให้เด็กเห็นความสำคัญของการดื่มนมมากข้ึน 



    เด็กที่ชอบแกล้งเพื่อนและไม่ตั้งใจทำกิจกรรม

     🎉 บันทึกสะท้อนคิด  วันอังคาร ที่ 16  มิถุนายน  2558  🎉
          
                   จากการที่ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นว่า เด็กชายฤทธิพงษ์  มีสมมนต์  ชอบแกล้งและรังแกเพื่อนเป็นประจำ ไม่ตั้งใจทำกิจกรรม เด็กชายฤทธิพงษ์มีพฤติกรรมเอาแต่ใจ  ต้องการเป็นจุดเด่นของเพื่อน ๆ สังเกตเห็นว่า  เด็กชายฤทธิพงษ์   ชอบรังแกเพื่อน  ด้วยความรุนแรง  ชกต่อยเพื่อน  ใช้อารมณ์เป็นเครื่องตัดสิน  สำหรับเด็กชายฤทธิพงษ์ เวลาที่เล่นกับเพื่อน ๆ หรือเพื่อนมาเล่นด้วยจะเล่นด้วยความรุนแรง ทำให้ต้องทะเลาะกับเพื่อน
    ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะลดพฤติกรรมรุนแรงนี้  เป็นการช่วยกล่อมเกลาจิตใจของเขาให้สงบเยือกเย็นลงได้  และให้เขาเข้าใจถึงวิธีการเข้าหาเพื่อนได้ดียิ่งขึ้น  พร้อมกับทำให้มีสมาธิในการเรียนดีขึ้น ครูจึงใช้วิธีการปลูกฝังค่านิยมและความรับผิดชอบให้เด็กชายฤทธิพงษ์ เพื่อให้รู้จักการควบคุมความต้องการและความรู้สึกของตนเอง เพื่อให้ปรับตัวเข้ากับเหตุการณ์และบุคคลต่าง ๆ ได้ เพื่อให้มีความตั้งใจเรียนและสมาธิในการเรียน
     ผลจากการปลูกฝังค่านิยมและความรับผิดชอบปรากฏว่า เด็กชายฤทธิพงษ์ ลดพฤติกรรมการใช้อารมณ์รุนแรง กับเพื่อน ๆ ได้ในเกณฑ์ที่ดี ทำให้เห็นความสำคัญของการมีเพื่อนที่ดี  และโทษของการไม่มีเพื่อน  และพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติกับเพื่อนและควรละเว้น ในการปฏิบัติต่อเพื่อน    สำหรับในเรื่องของการมีสมาธิในการเรียน ยังอยู่ในระดับพอใช้  ควรได้รับการพัฒนาต่อไป
               ครูเข้าใจปัญหา และคอยดูแลให้คำแนะนำเด็กในทางที่ถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้เขาสนใจ และเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น


    วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    ปัสสาวะรดที่นอน


          🍀 บันทึกสะท้อนคิด วันจันทร์ ที่ 15 มิถุนายน.2558 🍀
                   ตั้งแต่เปิดเทอม   ปัญหาที่พบบ่อยอีกหนึ่งปัญหา คือปัญหาการปัสสาวะรดที่นอน มีนักเรียนในห้องจปัสสาวะรดที่นอน อยู่ 3 คน จากการสังเกต  และการซักถาม  พบว่าเด็กปัสสาวะรดที่นอนเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญและควรได้รับการแก้ปัญหา ลักษณะของปัญหาเด็กปัสสาวะรดที่นอน มี 2 ลักษณะ คือ
    1. ปัสสาวะรดที่นอนขณะนอนกลางวัน
    2. ปัสสาวะรดที่นอนหลังตื่นนอน
                เพื่อลดปัญหาเด็กปัสสาวะรดที่นอนข้าพเจ้าได้พัฒนาวิธีการแก้ไขขึ้นมาใช้ 3 ข้อ
        1. ให้เด็กปัสสาวะก่อนนอน
        2.  อุ้มเด็กไปปัสสาวะ  
        3.  ให้ผู้ปกครองช่วยเหลือ ในการแก้ไขปัญหาเด็กปัสสาวะรดที่นอน 
              เมื่อทดลองใช้ 3 วิธีนี้แล้ว พบว่าการใช้วิธีให้เด็กปัสสาวะก่อนนอน  อุ้มเด็กไปปัสสาวะ  ให้ผู้ปกครองช่วยเหลือในการฝึกการขับถ่าย  สามารถลดปัญหาเด็กปัสสาวะรดที่นอนได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ               

    วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    เด็กติดของใช้

             ⭐️ บันทึกสะท้อนคิด วันศุกร์ ที่ 12 มิถุนายน 2558⭐️
          วันนี้จากการสังเกตลักษณะพฤติกรรมของเด็กที่ติดของใช้ใกล้ตัว เช่น ตุ๊กตา หมอน หรือผ้าห่ม จนมีอาการหวงแหนของสิ่งนั้นมากเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเด็กพยายามเข้าใจตนเองและเริ่มแยกแยะตนเองออกจากสิ่งรอบข้าง พฤติกรรมการติดของใช้ จะปรากฏขึ้นในช่วงที่เด็กกำลังก้าวผ่านการเป็นผู้พึ่งพิงไปสู่การเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เด็กมักพัฒนานิสัยการติดของใช้ขึ้นในช่วงปลายของขวบปีแรก 
           โดยปกติแล้ว พฤติกรรมการติดของใช้มักจะเริ่มหายไปเมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน อย่างไรก็ตามสำหรับเด็กที่ยังคงติดของใช้ ครูจะมีบทบาทในการช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาได้ ดังต่อไปนี้
           - ยอมผ่อนปรนให้เด็กนำของใช้ติดตัวมาหากเด็กยืนกรานว่าจะต้องมีของใช้ติดตัวอยู่เสมอ แต่อย่างไรก็ตาม ครูและนักเรียนต้องมีข้อตกลงร่วมกันคือ เด็กจะนำของใช้ออกมาได้เฉพาะในเวลาพักเท่านั้น
           - พยายามดึงดูดความสนใจของเด็กออกจากของใช้ ของต้นด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ
           - สังเกตกิจกรรมที่เด็กชอบมากเป็นพิเศษและสนับสนุนให้เด็กทำกิจกรรมนั้นบ่อยๆโดยไม่ให้มีของใช้ที่เด็กติดอยู่ในสายตา
           - ครูเป็นผู้สร้างความมั่นใจให้แก่เด็ก ทั้งนี้เพราะเด็กที่ติดของใช้หมายถึงเด็กที่ต้องการที่พึ่งทางใจดัง นั้นหากครูสามารถเป็นที่พึ่งทางใจของเด็กได้แล้ว พฤติกรรมดังกล่าวย่อมค่อยๆลดลงและจะหายไปในที่สุด
           


    วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    เด็กสมาธิสั้น

    ☀️บันทึกสะท้อนคิด วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2558 ☀️
                      ตั้งแต่เปิดเทอมมา วันนี้ได้สังเกตพฤติกรรมของเด็ก 2 คน จะเป็นเด็กไม่ค่อยนิ่งในขณะปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ต้องให้นั่งใกล้ๆครู เพื่อคอยกระตุ้นในการฟังและการตอบคําถาม ไม่นิ่งขณะร่วมกิจกรรมการระบายสีภาพต่างๆจะ ขีดเขียนแค่สองสามครั้งและจะเลิกไม่ทำต่อและ เปลี่ยนไปทํากิจกรรมอื่นอย่างไม่หยุดนิ่ง ถึงแม้จะเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่นฟังนิทาน ฯลฯ ครูจึงมีความสนใจจะศึกษาเด็กทั้ง 2 คน เพื่อแก้ไขปัญหา โดยการนํากิจกรรมสร้างสรรค์มาฝึกปฏิบัติ เพื่อปรับพฤติกรรมในการพัฒนความสามารถของเด็กทั้ง 2 คนที่มีสมาธิสั้น ให้ปรับพฤติกรรมในขั้นพื้นฐานได้เหมาะสมกับวัย 
                        กิจกรรมสร้างสรรค์ที่จะนำมาใช้ปรับพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้น
    1. ระบายสีภาพตามจินตนาการ    2. ฉีกปะภาพ       3. ปั้นดินน้ํามัน
                        วิธีการในการปรับพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้น
    1.ให้เด็กทำกิจกรรมสร้างสันทุกวัน วันละ 1 กิจกรรม            2. ให้เด็กนำผลงานที่ทำมาแสดงให้เพื่อนดู
    3. ครูและเพื่อนช่วยกันเสริมแรงด้วยคำชม
                         จากการใช้กิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้น ผลปรากฏว่ากิจกรรมสร้างสรรค์ที่ใช้ได้ดีคือ งานศิลปะ เพราะกิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นกิจกรรมที่เด็กช่วงวัยนี้ชื่นชอบ จึงทำให้เด็กๆเกิดความสนุกทุกครั้งที่จัด ครูมีการเสริมแรงให้เด็กโดยการปรบมือและชมเชย จากการสังเกตเด็กค่อยๆมีการพัฒนาทักษะด้านอารมณ์ไปอย่างช้าๆและใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมค่อนข้างนานแต่ในที่สุดก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้นโดยมีเด็กที่ทำกิจกรรมร่วมกันในห้องเรียนเป็นตัวกระตุ้น
                       การสะท้อน จากการปรับพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้นโดยการใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ ข้าพเจ้าได้ให้คุณครูที่อยู่ข้างห้องมาช่วยสังเกตพฤติกรรมของเด็กสมาธิสั้นทั้ง 2 คน ผลปรากฏว่าการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อปรับพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้นนั้น กิจกรรมสร้างสรรค์สามารถปรับพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้นได้


    วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

    เด็กนอนหลับยาก

      🌹 บันทึกสะท้อนคิด วันพุธ ที่ 10 มิถุนายน 2558 🌹

    การนอนพักช่วงบ่ายของเด็กอนุบาลนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง  เนื่องจากตั้งแต่เช้าจนถึงหลังรับประทานอาหารกลางวัน  เด็กได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ มาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง  จึงจำเป็นต้องให้เด็กมีการพักผ่อน  การพักผ่อนที่ดีอย่างหนึ่งคือ  การนอนหลับ  ซึ่งเป็นการพักทั้งทางร่างกายและจิตใจ  นอกจากนั้นยังทำให้ร่างกายของเด็กเจริญเติบโต  ฉันสอนชั้นอนุบาลปีที่ 1/2  มีนักเรียน  23 คน  ในเวลานอนตอนบ่ายโดยทั่วไป  เด็กส่วนใหญ่ใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีจะหลับ  แต่พบว่ามีเด็ก  3 คน  ที่นอนหลับยากมาก  ใช้เวลานาน  30-45 นาทีกว่าจะหลับได้  ขณะที่เด็กยังไม่หลับ  มักคุยและเล่นกัน  เป็นการรบกวนเด็กที่กำลังหลับ ฉันสังเกตเห็นว่าห้องเรียนมีแสงสว่างมากไป บางครั้งมีเสียงดังรบกวน  จึงทำให้เด็กหลับยาก
    วิธีดำเนินการ
    1. ลดแสงสว่างในห้องเรียนให้พอมองเห็นโดยปิดไฟและใช้ผ้าหรือกระดาษปิดส่วนที่เป็นกระจกใส
    2. ไม่ให้มีเสียงดังรบกวนขณะเด็กนอน  พูดค่อย ๆ  เมื่อจำเป็นต้องพูดกับเด็กคนใดคนหนึ่ง
    3. เปิดเพลงคลาสสิคเบา ๆ  ในขณะเด็กนอน  เนื่องจากการฟังเพลงคลาสสิคจะทำให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายและอยากหลับ
    จากการที่ได้จัดบรรยากาศในการนอนของเด็กโดยลดแสงสว่างให้น้อยลง  ลดเสียงดังรบกวน  และเปิดเพลงคลาสสิคเบา ๆ เพื่อแก้ปัญหาในการนอนหลับยากของเด็ก 3 คน ฉันสังเกตว่าเมื่อเวลาผ่านไป  1  สัปดาห์  นอกจากเด็กหลับเร็วขึ้นแล้ว หลังตื่นนอน  เด็ก  ๆ จะดูสดชื่นร่าเริง ส่วนตัวฉันนั้นไม่ต้องว่ากล่าวตักเตือนเด็ก ๆ  ให้หลับ  เด็กไม่ยุกยิก  นอกจากนี้ฉันได้ทำงานหลายอย่างมากขึ้นกว่าเดิม เช่น การบันทึกพฤติกรรมของเด็กในขณะทำกิจกรรมตอนก่อนเที่ยง  การเตรียมงานสำหรับวันต่อไป

    เด็กไม่รู้จักเข้าแถว

      🚥 บันทึกสะท้อนคิด วันอังคาร ที่ 9 มิถุนายน 2558 🚥
               
                             วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องการสอนให้เด็กรู้จักการนั่งรอหรือเข้าแถวรออย่างเป็นระเบียบ เพราะเปิดเทอมมาได้อาทิตย์ที่สามแล้ว เวลาที่ครูสอนเด็กๆไม่ค่อยสนใจหยอกกันเล่นกัน หลังเลิกงานเลยมานั่งคิดหาวิธีที่จะทำให้เด็กนั่งเป็นระเบียบได้
                              โดยให้เด็กนั่งตามตัวอักษรที่พื้นห้อง นั่งคนละหนึ่งตัว แล้วบอกเด็กๆว่านั่นคือที่นั่งของเด็กๆนะ  เป็นบ้านของเด็กๆถ้าใครไม่นั่งประจำบ้านตัวเอง คนนั้นก็จะไม่เก่ง ไม่มีบ้านอยู่เหมือนเพื่อนๆลองฝึกให้นั่งแค่หนึ่งวัน มีเด็กที่ยังจำที่นั่งไม่ได้แค่ไม่กี่คนนอกนั้นจำที่นั่งตัวเองได้
                               เด็กเริ่มมีความเป็นระเบียบขึ้น เริ่มรู้จักนั่งประจำที่ตัวเอง มีความรู้สึกว่าวิธีการแก้ปัญหานี้สามารถทำให้เด็กมีระเบียบดีขึ้น




    เด็กไม่ชอบทานผัก

    🌺 บันทึกสะท้อนคิด วันจันทร์ ที่  8 มิถุนายน 2558 🌺
                  วันนี้เป็นอีกวันที่เจอปัญหากับเด็กที่ไม่ชอบทานผัก  มีเด็กบางคนเห็นอาหารกลางวันที่มีผักเค้าจะร้องทุกวัน    ครูต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาว่าจะทำอย่างไรให้เด็กทานผักได้ จะทำยังไงให้เด็กรับประทานอาหารหมดชาม และจะทำยังไงให้เด็กรู้คุณค่าของอาหารผักต่างๆ
                           ลองใช้วิธีการเล่านิทานเรื่องแม่โพสพ หนูน้อยผักกาด ร้องเพลงฉันชอบผัก เล่นเกมผัก
    ท่องคำคล้องจอง ข้าว  ผัดผักรวมมิตรร่วมกัน ทำความเข้าใจอธิบายประโยชน์ของผักให้เด็กฟังบ่อย ๆ ร่วมสนทนาพูดคุยและให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นหรือตอบคำถามเกี่ยวกับประโยชน์ของผัก และวิธีนี้ก็ได้ผล คือเด็กเริ่มรับประทานผักมากขึ้น ครูได้สอบถามว่า ...อยู่บ้านเด็กๆรับประทานอาหารจำพวกผักได้หรือไม่ และทานข้าวหมดชามทุกครั้งหรือปล่าวฃผู้ปกครองบอกว่า แต่ก่อนจะเขี่ยผักทิ้งแต่เดี๋ยวนี้เด็กชอบทานผัก และผู้ปกครองยังได้ขอบคุณที่คุณครูช่วยแก้ปัญหาการไม่ทานผักของลูก ทำให้ดิฉันภูมิใจมากกับการที่สามารถแก้ปัญหาการไม่ชอบทานผักของเด็กที่อยู่ในความดูแลได้
    🎀 ข้อเสนอแนะ 🎀
            ในขนะเด็กรับประทานอาหารกลางวันครูควรดูแลอย่างใกล้ชิด ควรกล่าวชมเชยทุกวันทุกครั้งที่ทานอาหารหมด และเมื่อเด็กทานผัก ควรแสดงความรักจากการสัมผัสบ้าง เช่น การสัมผัสรูปศรีษะบ้าโอบกอดบ้าง หรือทางวาจาเช่น พูดว่า.."หนูเก่งมาก" "เยี่ยมมากๆ" การที่เด็กได้รับสัมผัสความรักจาก
    ครู เด็กจะเชื่อฟังและอบอุ่นจะทานข้าวอย่างมีความสุข...